วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ประวัติ Resident Evil
เป็นเวลาผ่านไป 8 ปี หลังจากเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาท ที่เกิดขึ้นในเมืองแรคคูนเมื่อปี 1996 บริษัท Umbrella ล่มสลายหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Umbrella อย่าง ออสเวล อี สเปนเซอร์ หลังจากทราบข่าวว่าทางรัฐบาลสั่งยิงนิวเคลียร์ถล่มเมืองแรคคูนจนทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ก็มอบหมายตำแหน่งผู้บริหารให้แก่ เซอร์กี วลาดิเมียร์ เจ้าหน้าที่คนสนิท แล้วตัวเองก็ออกเดินทางไปหลบซ่อนยังที่ต่างๆ จนสุดท้ายก็มากบดานอยู่ในคฤหาสน์ลึกลับหลังหนึ่ง ในทวีปยุโรป
คริสต์ และ จิล หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจที่เรือ Queen Zenobia และได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการของหน่วย BSAA เต็มตัว ก็ได้รับข้อมูลแจ้งเข้ามาว่า ค้นพบสถานที่กบดานของสเปนเซอร์แล้ว ทั้งสองคนจึงรีบรุดเดินทางไปยังตำแหน่งที่แจ้งมาทันที เพื่อทำการจับกุมตัวและสืบสาวข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงข้อมูลของเวสเกอร์ด้วย
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ จิลก็ใช้กุญแจผีไขล็อคที่ประตูใหญ่เข้าไป พร้อมกับคริสต์ ซึ่งเมื่อเข้ามาข้างในแล้วก็พบว่า บอดี้การ์ดของสเปนเซอร์ในคฤหาสน์นี้ตายเรียบทุกคนโดยฝีมือของใครสักคนหนึ่ง ที่นี่ืทำให้คริสต์และจิลนึกถึงเหตุการณ์ในคฤหาสน์ลึกลับบนเทือกเขาอาร์คเลย์ขึ้นมา เพราะรูปแบบการสร้างคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ต่างจากที่นั่นมากเท่าไรนัก
ในขณะเดียวกัน ณ.ออฟฟิศของสเปนเซอร์ เขากำลังพูดคุยอยู่กับ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ ซึ่งทางเวสเกอร์เองก็เพิ่งตามหาสเปนเซอร์เจอเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแผนการของสเปนเซอร์อยู่ก่อนแล้ว ที่ปล่อยให้แหล่งกบดานของตนรั่วไหลเพราะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทำให้การมาของเวสเกอร์ไม่ทำให้สเปนเซอร์แปลกใจเท่าไรนัก
ในการพูดคุยกันครั้งนี้ สเปนเซอร์เปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของแผนการที่เขาสร้างมาทั้งหมด ว่าการผลิต B.O.W.s. เพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพนั้นเป็นเพียงแค่แผนการตื้นๆ เท่านั้น เพราะเขายังมีแผนการใหญ่ที่แม้แต่มาร์คัส และเอ็ดเวิร์ด ที่ร่วมก่อตั้ง Umbrella ขึ้นมาไม่เคยรู้เลยอยู่ด้วย
แผนการนั้นคือการทำให้ตนเองเป็นเทพเจ้าโดยการพัฒนาสายพันธุ์ของมนุษยชาติด้วยไวรัส ซึ่งเขาต้องการ 3 สิ่งในการทำให้แผนการนี้สำเร็จด้วยดีคือ
- ไวรัสโปรเจนิสเตอร์ ที่เป็นไวรัสพื้นฐาน
- บริษัท Umbrella สำหรับเงินทุน
- และบุคคลที่จะร่วมอุดมการณ์นี้เมื่อการพัฒนาสายพันธุ์มนุษยชาติสำเร็จ ซึ่งคนนั้นก็คือ อัลเบิร์ต เวสเกอร์
สเปนเซอร์ เปิดเผยความลับเกี่ยวกับเวสเกอร์ว่า ที่จริงแล้ว "เวสเกอร์" คือโปรเจ็กต์ลับในการพัฒนาสายพันธุ์มนุษยชาติของเขา เกิดจาการนำตัวเด็กที่มีเชื้อสายที่ดีจากทั่วโลกนับร้อยคน โดยเด็กทุกคนจะถูกตั้งนามสกุลใหม่ว่า "เวสเกอร์" เด็กทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสถานฝึกฝนที่ทาง Umbrella จัดไว้ให้จนเข้าสู่ช่วงต้นของวัยรุ่น เด็กทุกคนจะได้รับไวรัสตัวต้นแบบจากสเปนเซอร์ ซึ่งเวสเกอร์เองก็ได้รับจาก ด.ร.วิลเลียม มาเช่นกัน แต่ทว่าเด็กเหล่านั้นถูกไวรัสเล่นงานล้มตายไปจนหมด เหลือเพียงแค่ "อัลเบิร์ต" เท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ใน"ตอนนี้" และสเปนเซอร์ต้องการให้เวสเกอร์เข้าร่วมอุดมการณ์ในการทำให้ตนก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าของมวลมนุษยชาติ
เมื่อเวสเกอร์ได้ยินดังนั้น เขาจึงเดินไปที่สเปนเซอร์ และใช้พลังเหนือมนุษย์ของเขา ในการเสียบมือเปล่าๆ ทะลุร่างของสเปนเซอร์ พร้อมกระซิบข้างๆ หูว่า "สิทธิ์ในการเป็นพระเจ้านั้นน่ะ ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว"
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เนื้อเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้
เนื้อเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้
พยายามจะทำวิธีต่างๆ ให้เธอนั้นรักฉัน
พยายามทุกวัน มอบให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
เหมือนเดินบนสะพานที่มีปลายทางคือใจของเธอ
ยังคงคิดและหวังจะนำเอารักแท้นี้ไปให้
พยายามทุกวัน มอบให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
เหมือนเดินบนสะพานที่มีปลายทางคือใจของเธอ
ยังคงคิดและหวังจะนำเอารักแท้นี้ไปให้
แต่ทำไม เดินมาเนิ่นนานไม่ถึงซักที
แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป
อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร
แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป
อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
ยังไม่คิดยอมแพ้ ฉันเพียงแต่อ้อนล้าก็เท่านั้น
ภายในใจยังคงรักเธอเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
คงจะดีไม่น้อย ถ้าเธอบอกให้ฉันได้รับรู้
ความในใจของเธอ เหตุผลต่างต่างที่ยังซ่อนไว้
ภายในใจยังคงรักเธอเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
คงจะดีไม่น้อย ถ้าเธอบอกให้ฉันได้รับรู้
ความในใจของเธอ เหตุผลต่างต่างที่ยังซ่อนไว้
ว่าทำไมเดินมาเนิ่นนานไม่ถึงซักที
แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป
อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร
แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป
อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที
ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย มีความหมาย
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที
ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย มีความหมาย
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน
มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด
บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
เนื้อคำว่าเพื่อน
ขับร้อง มิ้น-มิณฑิตา วัฒนกุล, เกมส์-ทิชากร คุปตวาณิชย์
ไม่มีคำไหนบรรยาย ให้เราเข้าใจ มากเท่าคำว่าเพื่อน
ไม่มีวันลบลืมเลือน เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ อยู่ได้ไปตลอด
* เรา ไม่เคยตกลงด้วยคำสัญญา ไม่ต้องมีเงื่อนไขใด
เรา แค่เพียงสบตาก็จะเข้าใจ เรารู้กัน
** เป็นเพื่อนกันแล้ว ยังไงก็ไม่แคล้ว
เดินตรงให้เป็นแนว อย่าแตกแถว
เป็นเพื่อนกันจริง ยังไงก็ไม่ทิ้ง
เป็นตายก็จะอยู่ เป็นเพื่อนกัน
และแม้วันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
ฉันก็ยิ่งมั่นใจ คำว่าเพื่อนจะอยู่นิรันดร์
คงไม่ต้องพูดคำใด ไม่ต้องคอยบอก ว่าพวกเรารักกัน
ก็คนมันเข้าใจกัน ไม่ต้องพูดมากมาย ไม่ต้องอธิบาย
ไม่มีคำไหนบรรยาย ให้เราเข้าใจ มากเท่าคำว่าเพื่อน
ไม่มีวันลบลืมเลือน เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ อยู่ได้ไปตลอด
* เรา ไม่เคยตกลงด้วยคำสัญญา ไม่ต้องมีเงื่อนไขใด
เรา แค่เพียงสบตาก็จะเข้าใจ เรารู้กัน
** เป็นเพื่อนกันแล้ว ยังไงก็ไม่แคล้ว
เดินตรงให้เป็นแนว อย่าแตกแถว
เป็นเพื่อนกันจริง ยังไงก็ไม่ทิ้ง
เป็นตายก็จะอยู่ เป็นเพื่อนกัน
และแม้วันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
ฉันก็ยิ่งมั่นใจ คำว่าเพื่อนจะอยู่นิรันดร์
คงไม่ต้องพูดคำใด ไม่ต้องคอยบอก ว่าพวกเรารักกัน
ก็คนมันเข้าใจกัน ไม่ต้องพูดมากมาย ไม่ต้องอธิบาย
เนื้อเพลงน้ำสุดท้าย
เนื้อเพลง น้ำตาสุดท้าย
Cocktail - น้ำตาสุดท้าย
คำร้อง/ ทำนอง ปัณฑพล ประสารราชกิจ
เรียบเรียง Cocktail
ร้องไห้มันออกมาเถิด
หากมีน้ำตาเก็บอยู่ข้างใน
ฉันรู้ดีว่าเธอต้องผิดหวัง
เธอต้องเจ็บช้ำมากมายขนาดไหน ข้างในนั้น
ร้องไห้มันออกมาเถิด
หากเธอต้องเสียใจเกินรับมัน
ฉันมองเธอที่ยืนแทบไม่ไหว
ทนเจ็บขื่นขม ทุกข์ระทมบาดแผลอีกไม่ไหว
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
ร้องไห้มันออกมาเถิด
อย่าไปกล้ำกลืนฝืนทนเก็บเอาไว้
เสียน้ำตาไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้หรือว่าอ่อนแอ
แค่ระบายให้ใจเธอได้หายดีี
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
คำร้อง/ ทำนอง ปัณฑพล ประสารราชกิจ
เรียบเรียง Cocktail
ร้องไห้มันออกมาเถิด
หากมีน้ำตาเก็บอยู่ข้างใน
ฉันรู้ดีว่าเธอต้องผิดหวัง
เธอต้องเจ็บช้ำมากมายขนาดไหน ข้างในนั้น
ร้องไห้มันออกมาเถิด
หากเธอต้องเสียใจเกินรับมัน
ฉันมองเธอที่ยืนแทบไม่ไหว
ทนเจ็บขื่นขม ทุกข์ระทมบาดแผลอีกไม่ไหว
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
ร้องไห้มันออกมาเถิด
อย่าไปกล้ำกลืนฝืนทนเก็บเอาไว้
เสียน้ำตาไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้หรือว่าอ่อนแอ
แค่ระบายให้ใจเธอได้หายดีี
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
โปรดเถอะ ให้น้ำตาเธอรินไหล...
โปรดเถอะ ห้วใจเธอได้ร้อง...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างความเจ็บปวด
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยบาดแผล
เลือนลางลบเลือนไป ให้น้ำตาโชลมหัวใจให้มันหาย...
โปรดเถอะ ให้น้ำตาล้างรอยอดีต
และบอกตัวเองจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เราจะไม่ตาย...ร้องไห้มันจนหายแล้ว
เธอจงลุกยืนอีกครั้งหนึ่ง
ประวัติสหรัฐอเมริกา
วันเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกามีการถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์. ตำรา เก่าเริ่มต้นในปี 1492 และเน้นพื้นหลังของยุโรปหรือเริ่มต้นในปี 1600 และเน้นชายแดน อเมริกัน. ในทศวรรษที่ผ่านมา, โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอเมริกันมักจะขยับตัวกลับในเวลาที่จะรวมในยุคอาณานิคมมากขึ้นและมากขึ้นมากๆในประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมือง.[1][2]
ชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ในส่วนที่เป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในตอนนี้เป็นพันๆปี และพัฒนาวัฒนธรรมที่ซับซ้อนก่อนชาวอาณานิคมของยุโรปเริ่มที่จะมาถึง, ส่วนใหญ่จากประเทศอังกฤษ, หลังปี 1600. สเปนมีการตั้งถิ่นฐานในช่วงต้นในฟลอริด้าและทางตะวันตกเฉียงใต้, และฝรั่งเศส ตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีและชายฝั่งอ่าวเมกซิโก. ในยุค 1770s, สิบสามอาณานิคมของอังกฤษมีจำนวนประชากรสองล้านครึ่งอยู่ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก, ทางตะวันออกของ แนวเทือกเขา Appalachian Mountains. หลังจากขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากทวีปอเมริกาเหนือในปี 1763, อังกฤษกำหนดชุดของภาษีใหม่ในขณะที่ปฏิเสธข้อโต้แย้งของอเมริกันว่า ภาษีจำเป็นที่จะต้องเข้าสภา. แรงต้านภาษี, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปาร์ตี้น้ำชาที่บอสตัน (อังกฤษ: Boston Tea Party) ในปี ค.ศ. 1774, นำไปสู่การลงโทษโดยสภาที่ได้รับการออกแบบในสิ้นสุดตัวเองของรัฐบาลในแมสซาชูเซต. ทั้ง 13 อาณานิคมรวมตัวกันในสภาคองเกรสที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775. ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สภาคองเกรสลงมติยอมรับประกาศอิสรภาพ (อังกฤษ: Declaration of Independence)ที่เขียนขึ้นโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน, ที่ประกาศว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นเท่ากัน, และก่อตั้งประเทศใหม่, สห สหรัฐอเมริกา. ด้วยกำลังทหารขนาดใหญ่และการสนับสนุนทางการเงินจากฝรั่งเศส และความเป็นผู้นำทางทหารโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน, ผู้รักชาติทั้งหลายชาวอเมริกันชนะสงครามปฏิวัติ" สนธิสัญญาสันติภาพปี ค.ศ. 1783 ให้ประเทศใหม่, ส่วนใหญ่ของดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (ยกเว้น ฟลอริดา). รัฐบาลแห่งชาติ ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับของสมาพันธ์(อังกฤษ:Articles of Confederation) ได้พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผลที่จะให้ความมั่นคงกับประเทศใหม่, เนื่องจาก มันไม่มีอำนาจในการเก็บภาษีและไม่มีผู้บริหารระดับสูง. การประชุมที่จัดขึ้นในฟิลาเดลในปี ค.ศ. 1787 เพื่อปรับปรุงข้อบังคับของ สมาพันธ์ส่งผลให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แทน, ซึ่งถูกยอมรับในปี ค.ศ. 1789. ใน ค.ศ. 1791 บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (อังกฤษ: Bill of Rights) ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อรับประกันสิทธิ์ต่างๆที่ขอบธรรมสำหรับการปฏิวัติ. ด้วยการมี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศและ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและทางการเงินของเขา, รัฐบาลแห่งชาติที่แข็งแกร่งได้ถูกสร้างขึ้น. เมื่อ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เป็นประธานาธิบดี, เขาซื้อหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส, ทำให้ขนาดของประเทศเป็นสองเท่า. สงครามกับอังกฤษครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายได้ต่อสู้กันในปี ค.ศ. 1812
ถูกผลักดันโดยความเชื่อของชะตากรรมที่เด่นชัด, ประเทศได้ขยายตัวเกินกว่าการซื้อลุยเซียนา, ตลอดทางไปถึงแคลิฟอร์เนียและโอเรกอน. การขยายตัวได้รับการผลักดันโดยการแสวงหา ที่ดินราคาไม่แพงสำหรับเกษตรกรเสรีชน, และเจ้าของทาส. การขยายตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกัน และ เติมเชื้อความแตกต่างที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในเรื่องสถาบันของการเป็นทาสในดินแดนใหม่. ทาสถูกยกเลิกในทุกรัฐทางตอนเหนือของเส้นเมสัน-ดิกซันในปี 1804, แต่ภาคใต้ยังคงมีกำไรจากสถาบัน, เพื่อผลิตฝ้ายส่งออกมูลค่าสูงเพื่อป้อนความต้องการที่สูงขึ้น ในยุโรป. ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1860 ของนักต่อต้านการเป็นทาสพรรครีพับลิกัน, อับราฮัม ลินคอล์น จุดชนวนให้เกิดการแยกตัวของเจ็ด (ต่อมาเป็นสิบเอ็ด)รัฐทาสที่จัดตั้งสมาพันธรัฐในปี ค.ศ. 1861.สงครามกลางเมืองอเมริกัน (1861-1865) นผลที่ตามมา, ด้วยวัสดุท่วมท้นและข้อได้เปรียบกำลังคนของภาคเหนือเป็นตัวชี้ขาดในสงครามที่ยาวนาน, ในขณะที่ อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเป็นกลาง. ผลก็คือ การฟื้นฟูของสหภาพ, การแร้นแค้นของภาคใต้, และการเลิกทาส. ในยุคบูรณะ (อังกฤษ: Reconstruction era)(1863-1877), สิทธิตามกฎหมายและการออกเสียงลงคะแนนถูกขยายไปยังเสรีชน(เสรีทาส). รัฐบาลแห่งชาติเกิดความเข้มแข็งมากขึ้น และเพราะ คำแปรญัตติที่สิบสี่ (อังกฤษ: Fourteenth Amendment) มันได้รับหน้าที่ที่ชัดเจนในการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล. อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่แยกจากกันและกฎหมายของ จิม โครว ทิ้งให้คนผิวดำเป็นพลเมืองชั้นสองในภาคใต้ที่มีอำนาจน้อยจนถึงปี 1960s.
ประเทศสหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการระเบิดของผู้ประกอบการในภาคเหนือและตะวันตกกลาง, และการมาถึงของแรงงานอพยพและเกษตรกรจากยุโรปนับล้าน. เครือข่ายทางรถไฟของประเทศถูกทำให้ลำเร็จโดยการทำงานของผู้อพยพชาวจีน, และการทำเหมืองแร่และโรงงานขนาดใหญ่สร้าง งานอุตสาหกรรมให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมิดเวสต์. ความไม่พอใจของมวลชนกับการทุจริต, การขาดประสิทธิภาพ และการเมืองแบบดั้งเดิมกระตุ้นการเคลื่อนไหวก้าวหน้า, จากยุค 1890s ถึงยุค 1920s, ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปสังคมและการเมืองหลายอย่าง. ในปี 1920, การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 19 รับประกันสิทธืสตรี(สิทธิออกเสียงลงคะแนน). สิ่งนี้ตามด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมที่ 16 และ 17 ในปี 1909 และ 1912 ซึ่งทำให้เกิดภาษีเงินได้แห่งชาติและการเลือกตั้งโดยตรงของวุฒิสมาชิกของสหรัฐไปสู่สภาคองเกรสเป็นครั้งแรก
ตอนแรกเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917 และให้เงินสนับสนุนพันธมิตรจนได้ชัยชนะในปีต่อมา. หลังจากทศวรรษที่เจริญรุ่งเรืองในปี 1920s, วอลล์สตรีทพังทลายในปี ค.ศ. 1929 ทำเครื่องหมาย การเริ่มต้นของการตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายทั่วโลกนานนับทศวรรษ แฟรงคลิน ดี โรสเวลต์ แห่งพรรคเดโมแครตจบการครอบงำทำเนียบขาวของพรรครีพับลิกันและดำเนินการโปรแกรมของเขา, ข้อตกลงใหม่, เพื่อบรรเทา, กู้คืน และปฏิรูป. พวกเขาให้คำนิยามว่าเป็น เสรีนิยมอเมริกันที่ทันสมัย. เหล่านี้รวมถึง การบรรเทาการว่างงาน, การสนับสนุนเกษตรกร, การประกันสังคม และค่าจ้างขั้นต่ำ. หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตี เพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 สหรัฐอเมริกาเข้าร่วม สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับพันธมิตร, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต. มันจ่ายทุนสงครามให้พันธมิตร และช่วยให้ชนะนาซีเยอรมนีในยุโรปและด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่, ที่ญี่ปุ่นในตะวันออกไกล
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจคู่แข่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง. ราวปี ค.ศ. 1947 พวกเขาเริ่มสงครามเย็น, การเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งโดยทางอ้อม, ในการแข่งขันด้านอาวุธ และอวกาศ, นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในช่วงสงครามเย็นถูกสร้างขึ้นรอบๆการสนับสนุนของยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นและ นโยบายของ "เอาอยู่" หรือการหยุดการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์. สหรัฐอเมริกามีส่วนร่วมในสงครามเกาหลีและเวียดนามเพื่อ หยุดการแพร่กระจาย. ในปี 1960s, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก ความแรงของการเคลื่อนไหว ของสิทธิมนุษยชน, คลื่นอื่นๆของการปฏิรูปทางสังคมถูกนำมาใช้ในระหว่างการบริหารของ เคนเนดี้และจอห์นสัน, การบังคับใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของการลงคะแนน และ เสรีภาพในการเคลื่อนไหวของคนแอฟริกันอเมริกันและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ, การเคลื่อนไหวของชาวอเมริกันพื้นเมืองก็เพิ่มขึ้นด้วย. สงครามเย็นสิ้นสุดลงเมื่อสหภาพโซเวียตสลายในปี ค.ศ. 1991 ปล่อยให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว. เมื่อศตวรรษที่ 21 เริ่มต้น, ความขัดแย้งระหว่างประเทศมีศูนย์กลางรอบๆตะวันออกกลางและแพร่กระจายไปยังเอเชียและแอฟริกา ตามด้วยการโจมตี 11 กันยายน โดยอัล กออิดะห์ ต่อประเทศสหรัฐอเมริกา. ในปี ค.ศ. 2008 ประเทศสหรัฐอเมริกามีวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งตามมาด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าปกติในยุค 2010s.
สงครามโลกครั้งที่2
สงครามโลกครั้งที่สอง (อังกฤษ: World War II หรือ Second World War[note 1]; มักย่อเป็น WWII หรือ WW2) เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งรัฐมหาอำนาจทั้งหมด ประเทศผู้ร่วมสงครามรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางทหารคู่สงครามสองฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ระหว่างสงครามมีการระดมทหารกว่า 100 ล้านนาย ด้วยลักษณะของ "สงครามเบ็ดเสร็จ" ประเทศผู้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเทขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อความพยายามของสงครามทั้งหมด โดยลบเส้นขีดแบ่งระหว่งทรัพยากรของพลเรือนหรือทหาร ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[3][4] ด้วยประการทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด[5] และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ[6] ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 40 ถึงมากกว่า 70 ล้านคน
โดยทั่วไปมักถือว่าสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มตั้งแต่การบุกครองโปแลนด์ของเยอรมนี ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 อันนำไปสู่การประกาศสงครามต่อเยอรมนีของฝรั่งเศสและประเทศส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอังกฤษและเครือจักรภพ ภายในหนึ่งปี เยอรมนีก็มีชัยเหนือยุโรปตะวันตกเกือบทั้งหมด คงเหลือเพียงสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพที่ยังเป็นกำลังหลักที่ยังต่อกรกับเยอรมนีทั้งที่เกาะบริเตน แอฟริกาเหนือ และกลางแอตแลนติกอย่างยืดเยื้อ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 ฝ่ายอักษะบุกครองสหภาพโซเวียต เปิดฉากเขตสงครามภาคพื้นดินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ฝ่ายจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งกำลังทำสงครามกับจีนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1937 ด้วยปรารถนาจะยึดครองเอเชียทั้งหมด จึงฉวยโอกาสโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และส่งทหารบุกครองหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
การรุกคืบของฝ่ายอักษะยุติลงใน ค.ศ. 1942 หลังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในยุทธนาวีมิดเวย์ และหลังความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะยุโรปในอียิปต์และที่สตาลินกราด ใน ค.ศ. 1943 จากความปราชัยของเยอรมนีที่เคิสก์ในยุโรปตะวันออก การบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตร ตลอดจนถึงชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในแปซิฟิกได้ทำลายการริเริ่มและส่งผลทำให้ฝ่ายอักษะล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในทุกแนวรบ ใน ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรเปิดแนวรบใหม่ในฝรั่งเศส เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียตที่ยึดดินแดนคืนและบุกครองเยอรมนีและพันธมิตร
สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่นและการบุกครองแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945
สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลกสหประชาชาติถูกสถาปนาขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก้าวเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอันเป็นคู่ปรปักษ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งบนเวทีแห่งสงครามเย็น ซึ่งได้ดำเนินต่อมาอีก 46 ปีหลังสงคราม ขณะเดียวกัน การยอมรับหลักการการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง เร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา พร้อม ๆ กับที่หลายประเทศได้มุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งอุตสาหกรรมได้รับความเสียหายระหว่างสงคราม และบูรณาการทางการเมืองได้เกิดขึ้นทั่วโลกในความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์หลังสงคราม
โครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
โครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความหมายของโครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนำความรู้ ทักษะ ความชำนาญ และเครื่องมือต่าง ๆ มาใช้ในการแก้ปัญหาหรือจัดการสารสนเทศ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล รวมไปถึงการนำเสนอสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เกิดประโยชน์และสะดวกสบาย การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมมีความสะดวก รวดเร็ว ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า
โครงงาน คือ ภาระงาน ชิ้นงาน หรือกิจกรรมอิสระ ที่ผู้ทำโครงงานเลือกศึกษา หรือดำเนินการตามความสนใจ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ทักษะและประสบการณ์ของตนเอง โดยนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่น ๆ เข้ามาใช้เพื่อหาคำตอบ หรือแก้ปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งผู้ทำโครงงานจะต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อให้การดำเนินการมีระบบระเบียบ เป็นไปตามขั้นตอนที่ได้วางไว้
โครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการพัฒนาผลงานที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า และดำเนินการพัฒนาตามความสนใจและความถนัด โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การรวบรวมข้อมูลโดยสืบค้นจากอินเทอร์เน็ต ประมวลผลด้วยซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และการนำเสนอโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ความสำคัญของโครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของทุก ๆ สังคมในโลกปัจจุบัน ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดผลต่าง ๆ ตามมา เช่น สังคมโดยส่วนใหญ่เปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ มักขึ้นอยู่กับข้อมูลซึ่งได้จากระบบคอมพิวเตอร์
โครงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นโครงงานที่มีความน่าเชื่อถือ ดำเนินกิจกรรมได้รวดเร็ว การนำเสนอที่มีความน่าสนใจ และเผยแพร่โครงงานได้สะดวก
โครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้นำความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการแก้ปัญหาพัฒนาคิดค้น และส่งเสริมให้นักเรียนมีความสนใจในการทำงานวิจัย ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า
หลักการทำโครงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
หลักการทำโครงงานที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการนำความรู้เรื่ององค์ประกอบของโครงงานและขั้นตอนการทำโครงงาน มาประยุกต์ใช้กับโครงงานที่สนใจ เพื่อให้ได้ผลงานตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
องค์ประกอบของโครงงาน
โครงงานมีองค์ประกอบดังนี้
1. กระบวนการทำงาน
โครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ จะต้องมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการทำงาน หรือขั้นตอนในการทำโครงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล
2. ความคิดสร้างสรรค์
ภาระงาน ชิ้นงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ผู้ทำโครงงานควรเป็นผู้เลือกหัวข้อหรือเรื่องที่จะทำโครงงานด้วยตนเอง โดยโครงงานที่ทำต้องไมซ้ำหรือมีผู้อื่นทำไว้แล้ว แต่หากผู้ทำโครงงานสนใจที่จะทำโครงงานที่มีผู้อื่นได้ศึกษาค้นคว้าหรือทำไว้แล้ว ผู้ทำโครงงานก็ควรจะคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษาค้นคว้า หรือพัฒนาโครงงานนั้นเพิ่มเติม
3. การปฏิบัติงาน
ผู้ทำโครงงานจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติภาระงาน ชิ้นงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ นั้นด้วยตนเอง โดยจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทั้งหมด ดังนั้นผู้ทำโครงงานจึงควรเลือกทำโครงงานที่ตนถนัดและสนใจ เพื่อให้สามารถทำโครงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากผู้ทำโครงงานขาดความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เกี่ยวกับโครงงานที่สนใจ ก็ควรศึกษา และค้นคว้าในด้านนั้น ๆ เพิ่มเติม
4. การวางแผน การสรุป และการนำเสนอโครงงาน
การทำโครงงานเทคโนโลยีสารสนเทศ จะต้องมีการวางแผนเพื่อดำเนินการอย่างมีขั้นตอน มีการสรุปว่าผู้ทำโครงงานและผู้อื่นได้รับอะไรจากการทำโครงงาน มีข้อผิดพลาดในการทำโครงงานนี้อย่างไร และจะต้องนำเสนอโครงงานนั้น ๆ ให้แก่สาธารณะ ในการวางแผนทำโครงงาน ผู้ทำโครงงานสามารถใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศแก้ปัญหาในการจัดทำโครงงาน และใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยในการนำเสนอและเผยแพร่โครงงาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)