การพัฒนา[แก้]
เบื้องหลังและความต้องการ[แก้]
แฟร์ไชลด์ นอร์ธ อเมริกัน มาร์ติน และนอร์ทธรอปได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ทำให้เหลืออีกห้าบริษัทพร้อมแบบทั้งสิบ ล็อกฮีดสองแบบ โบอิงหนึ่งแบบ เชสสามแบบ ดักลาสสามแบบ แอร์ลิฟท์หนึ่งแบบ การแข่งขันนั้นสูสีกันมากระหว่างล็อกฮีดสองแบบที่ขนาดเบากว่าและแบบของดักลาสที่มีสี่เครื่องยนต์
ทีมออกแบบของล็อกฮีดนำโดยวิลลิส ฮอร์คกินส์ เริ่มด้วยข้อเสนอ 130 หน้าสำหรับ
ล็อกฮีด แอล-206 และแบบสองเครื่องยนต์กับอีกแบบที่ขนาดใหญ่กว่า
[3] ฮอล ฮิบบาร์ด รองประธานล็อกและหัวหน้าวิศรกรของล็อกฮีด ได้เห็นข้อเสนอและส่งมันให้กับเคลลี่ จอห์นสัน ทั้งฮิบบาร์ดและจอห์สันได้เซ็นข้อเสนอและบริษัทก็ชนะสัญญาสำหรับการออกแบบโมเดล 82 ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2494
[4]
การบินครั้งแรกของ
วายซี-130 เกิดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2497 วายซี-130 ที่บินโดยแสตนลีย์ เบลซ์และรอย วิมเมอร์ทำการบินนาน 61 นาทีไปยังฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด แจ็ค เรียลและดิกแสตนตันได้ทำหน้าที่เป็นวิศวกรการบิน เคลลี่ จอห์นสันได้บินเครื่อง
พี2วี เนปจูนของเชส
[5]
การผลิต[แก้]
หลังจากที่ต้นแบบทั้งสองสมบูรณ์ การผลิตก็เริ่มขึ้นในจอร์เจีย ที่ซึ่งมีซี-130 มากกว่า 2,300 ถูกสร้างขึ้น
[6]
แบบแรกๆ ที่ทำการผลิตคือ
เอซี-130เอ ใช้เครื่องยนต์อัลลิสัน ที56-เอ-9 ที่มีสามใบพัด การส่งมอบเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2499 โดยต่อไปจนถึงการมาของ
ซี-130บีในปีพ.ศ. 2502 บางรุ่นมีชื่อใหม่ว่า
ซี-130ดีหลังจากที่ทำการติดตั้ง
สกีเข้าไป รุ่นบีที่ใหม่กว่ามีแพนปีกที่เสริมการเร่งจาก 2,050 ปอนด์ต่อตารางนิ้วเป็น 3,000 ปอนต่อตารางนิ้ว เช่นเดียวกันกับการปรับเครื่องยนต์และใบพัดทั้งสี่ซึ่งเป็นมาตรฐานมาจนถึงรุ่นเจ
ซี-130เอ[แก้]
ซี-130 ชุดแรกที่ทำการผลิตเรียกว่ารุ่นเอ ซึ่งส่งมอบให้กับฝูงบินขนส่งทหารที่ 463 ที่ฐานทัพอากาศอาร์ดมอร์รัฐโอกลาโฮมาและฝูงบินขนส่งทหารที่ 314 ที่ฐานทัพอากาศสจ๊วตรัฐเทนเนสซี ฝูงบินอีกหกฝูงถูกรวมเป็นกองบินที่ 332 ในยุโรปและกองบินที่ 315 ในตะวันออกไกล เครื่องบินลำอื่นถูกดัดแปลงเพื่องานข่าวกรองและส่งให้กับฐานทัพอากาศไร-แมง เยอรมนีได้ดัดแปลงอาร์ซี-130เอเพื่อทำงานถ่ายภาพทางอากาศ เครื่องบินที่ติดตั้งสกีถูกตั้งชื่อว่าซี-130ดี แต่มักจะเป็นรุ่นเอยกเว้นว่าจะมีการดัดแปลง ซี-130เอได้กลายมาเป็นทางเลือกให้กับการบัญชาการกำลังทางอากาศยุทธวิธี ด้วยการเพิ่มถังเชื้อเพลิงเข้าไปเพื่อให้มันทำหน้าที่เติมเชื้อเพลิงทางอากาศ รุ่นเอนั้นยังคงทำหน้าที่ของมันตลอด
สงครามเวียดนาม ที่ซึ่งเครื่องบินทำงานให้กับสี่ฝูงบินที่ฐานทัพอากาศนาฮา โอกินาวาและอีกหนึ่งที่ฐานทัพอากาศทาชิกาวะ ญี่ปุ่นได้ใช้มันในปฏิบัติการพิเศษเหนือลาวและเวียดนามเหนือ รุ่นเอยังได้ทำหน้าที่ในกองทัพอากาศเวียดนามใต้ในช่วงท้ายของสงครามอีกด้วย และมันได้เข้าร่วมกับสามฝูงบิน ผู้ใช้งานรายสุดท้ายในโลกคือกองทัพอากาศฮอนดูรัสซึ่งยังคงใช้รุ่นเออยู่
[ต้องการอ้างอิง]
ซี-130บี[แก้]
รุ่นบีนั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อเติมเต็มรุ่นเอซึ่งถูกส่งมอบไปก่อนหน้า และมันมีจุดเด่นใหม่ๆ โดยเฉพาะความจุเชื้อเพลิงเพื่อทำหน้าที่เติมเชื้อเพลิง มีการใช้เครื่องยนต์ฮาร์ทเซลแบบสี่ใบพัดแทนที่แบบเก่าที่มีสามใบพัด รุ่นบีได้เข้ามาแทนที่รุ่นเอในฝูงบินขนส่งทหารที่ 314 และ 463 ในสงครามเวียดนามมีสี่ฝูงบินที่เข้าร่วมกับฝูงบินขนส่งทหารทางยุทธวิธีที่ 463 ที่ตั้งฐานอยู่ที่สนามบินคลาร์กและแมกแทนในฟิลิปปินส์ มันถูกใช้เพื่อการลำเลียงทางอากาศในเวียดนามใต้ ในปีพ.ศ. 2512 ได้มีภารกิจทิ้งระเบิด
เอ็ม-121 ขนาด 4,534 กิโลกรัมเพื่อเคลียร์ทางให้กับเฮลิคอปเตอร์ เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงรุ่นบีของฝูงบินที่ 463 และรุ่นเอของฝูงบินที่ 374 ก็ถูกย้ายกลับไปยังสหรัฐซึ่งพวกมันส่วนมากถูกมอบให้กับกองกำลังสำรองทางอากาศและยามชายฝั่ง อีกบทบาทหนึ่งของรุ่นบีคือนาวิกโยธิน ซึ่งมันได้ทำหน้าที่แทนซี-119 หลังจากที่ซี-130ดีของกองทัพอากาศได้พิสูจน์ว่ามันมีประโยชน์ในแอนตาร์กติกา กองทัพเรือสหรัฐก็ได้ซื้อรุ่นบีจำนวนมากที่มีสกีโดยใช้ชื่อว่าแอลซี-130
แบบสอดแนมอิเลคทรอนิกของซี-130บีถูกเรียกว่าซี-130บี-2 มี 13 ลำที่ถูกดัดแปลงและใช้งานภายใต้โครงการซันแวลลีย์ พวกมันปฏิบัติการที่ฐานทัพอากาศโยโกตาในญี่ปุ่นเป็นหลัก ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นซี-130บีรุ่นมาตรฐานหลังจากที่เข้ามาแทนที่เครื่องบินลาดตระเวนแบบอื่น ซี-130บี-2 มีจุดเด่นที่ถังเชื้อเพลิงเพิ่มในปีกของมัน ซึ่งมีเสาอากาศข่าวกรองติดตั้งอยู่ กระเปาะนั้นมีขนาดใหญ่กว่าถังแบบมาตรฐานของรุ่นบีเล็กน้อย เครื่องบินส่วนใหญ่มีจุดเด่นที่เสาอากาศลู่บนลำตัวส่วนบน เช่นเดียวกับเสาอากาศแบบสายที่อยู่ระหว่างครีบกับลำตัวส่วนบนที่ไม่มีในซี-130 รุ่นอื่น การเรียกหมายเลขบนหางของเครื่องจะเปลี่ยนไปเรื่อยเพื่อทำให้เกิดการสับสนและปิดบังภารกิจที่แท้จริงของมัน
ซี-130อี[แก้]
รุ่นอีที่มีพิสัยไกลขึ้นนั้นได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2505 หลังจากที่พัฒนาเป็นพาหนะขนส่งระยะไกลให้กับกองทัพ โดยเฉพาะในรุ่นบี การตั้งชื่อใหม่มาจากการติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 1,360 แกลลอนใต้ปีกแต่ละข้าง และเครื่องยนต์ใบพัดอัลลิสัน ที-56-เอ-7เอที่ทรงพลังกว่าเดิม รุ่นอียังมีจุดเด่นที่โครงสร้างซึ่งได้รับการพัฒนา ระบบอิเลคทรอนิกอากาศ และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ซี-130เอฟ เคซี-130เอฟ และซี-130จี[แก้]
เคซี-130 เป็นเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงที่มาจากซี-130เอฟที่สร้างมาเพื่อนาวิกโยธินสหรัฐในปีพ.ศ. 2501 โดยติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 3,600 แกลลอนที่ถอดออกได้ซึ่งอยู่ด้านในส่วนเก็บสินค้า ปีกทั้งสองมีท่อเติมเชื้อเพลิงที่จะส่งเชื้อเพลิงได้ 300 แกลลอนต่อนาทีให้กับอากาศยานได้สองลำพร้อมๆ กัน ซี-130จีได้มีการเพิ่มความแข็งแกร่งทางโครงสร้างเข้าไปเพื่อให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น
ซี-130เอช[แก้]
รุ่นเอชนั้นได้พัฒนาเครื่องยนต์ใบพัดอัลลิสัน ที56-เอ-15 ปีกด้านนอกที่ออกแบบใหม่ ระบบอิเลคทรอนิกอากาศใหม่ และยังมีการพัฒนาอื่นๆ อีกเล็กน้อย ต่อมารุ่นเอชมีการพัฒนาอายุการใช้งานและปีกส่วนกลางซึ่งแตกต่างจากเอชรุ่นเดิม รุ่นเอชยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยกองทัพอากาศสหรัฐและประเทศอื่นๆ การส่งมอบครั้งแรกๆ เริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2507 โดยผลิตจนถึงปีพ.ศ. 2539 รุ่นเอชนั้นถูกพัฒนาเป็นรุ่นใหม่ในปีพ.ศ. 2517
ยามชายฝั่งสหรัฐใช้เอชซี-130เอชสำหรับการค้าหาและช่วยเหลือระยะไกล การสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยา การลาดตระเวนหาผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย รักษาดินแดน และขนส่ง
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535-2539 ซี-130เอชถูกเรียกว่าซี-130เอช3 โดยกองทัพอากาศสหรัฐ 3 นั้นหมายถึงการออกแบบครั้งที่สามของรุ่นเอช การพัฒนารวมทั้งห้องนักบิน เรดาร์เอพีเอ็น-241 ไฟมองกลางคืน และระบบอิเลคทรอนิกที่ให้พลังสะอาดกับส่วนประกอบใหม่ๆ ที่บอบบาง
ซี-130เค[แก้]
เป็นรุ่นส่งออกให้กับ
สหราชอาณาจักร มันถูกเรียกว่า
เฮอร์คิวลิส ซี.1 โดยกองทัพอากาศอังกฤษ มันเหมือนกับเฮอร์คิวลิสรุ่นดั้งเดิม
ซี-130 รุ่นอื่น[แก้]
เอชซี-130พี/เอ็นเป็นแบบค้นหาและช่วยเหลือพิสัยไกลที่ใช้โดยกองทัพอากาศสหรัฐซึ่งพัฒนามาจากเอชซี-130พีรุ่นก่อนหน้า มันสามารถขนหน่วยกู้ภัยพลร่ม อุปกรณ์ช่วยชีวิต และเชื้อเพลิงสำหรับเติมให้กับเฮลิคอปเตอร์โจมตี เอชซี-130 มักถูกใช้เป็นเครื่องบินบัญชาการสำหรับภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ ในรุ่นแรกๆ จะมีรอกที่ออกแบบมาเพื่อดึงคนขึ้นมาโดยใช้ลวดที่แขวนกับบอลลูนฮีเลียม ในภาพยนตร์เรื่อง
เดอะ กรีน เบเร่ต์สของจอห์น เวย์นได้แสดงให้เห็นเช่นกัน มันเรียกว่าระบบฟุลตันที่ต่อมาถูกนำออกเมื่อการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศให้กับเฮลิคอปเตอร์นั้นปลอดภัยกว่าและมีประโยชน์มากกว่า ในภาพยนตร์เรื่อง
เดอะ เพอร์เฟ็ค สตอร์มได้แสดงให้เห็นภารกิจค้นหาและช่วยเหลือที่มีการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศให้กับ
เอชเอช-60จีโดยเอชซี-130พี
ซี-130อาร์และซี-130ทีเป็นรุ่นของกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐ ทั้งสองแบบติดตั้งถังเชื้อเพลิงไว้ใต้ปีก ของกองทัพเรือจะมีระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่พัฒนาอีกเล็กน้อย ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์อัลลิสัน ที-56-เอ-16 ของนาวิกโยธินใช้ชื่อเคซี-130อาร์หรือเคซี-130ทีเมื่อติดตั้งแท่นเติมเชื้อเพลิงและระบบมองกลางคืน
ล็อกฮีด แอล-100 เป็นแบบของพลเรือน มันเหมือนกับรุ่นอีโดยปราศจากที่ติดตั้งถังเชื้อเพลิงหรืออุปกรณ์ทางทหาร แอล-100 มีสองรุ่น คือ แอล-100-20 ที่มีลำตัวขนาด 2.5 เมตร และแอล-100-30 ที่มีขนาด 4.6 เมตร แอล-100 นั้นไม่เป็นที่นิยมนักในตลาดแต่มักถูกใช้โดยสายการบินขนส่ง แอล-100 ยังถูกใช้โดยคูเวตและซาอุดิอาระเบีย
รุ่นในอนาคต[แก้]
ในทศวรรษที่ 2513 ล็อกฮีดได้ยื่นข้อเสนอซี-130 ที่มี
เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแทนเครื่องยนต์ใบพัด แต่กองทัพอากาศสหรัฐต้องการเครื่องบินที่มีการบินขึ้นที่แตกต่างซึ่งมีอยู่แล้วมากกว่า ในปีทศวรรษที่ 2523 ซี-130 มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่โดยโครงการยานขนส่งขึ้น-ลงในระยะสั้น โครงการถูกยกเลิกและซี-130 ก็ยังคงถูกผลิตต่อไป
ในทศวรรษที่ 2533
ซี-130เจ ซูเปอร์เฮอร์คิวลิสได้ถูกสร้างขึ้นโดยล็อกฮีด รุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดและมีแค่ลำเดียวที่ผลิตออกมา ภายนอกนั้นเหมือนกับเฮอร์คิวลิสทั่วไป แต่รุ่นเจนั้นมีเครื่องยนต์ใบพัดแบบใหม่ ที่มีหกใบพัด ระบบอิเลคทรอนิกอากาศแบบดิจิตอล และระบบใหม่อื่นๆ
