วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เนื้อเพลงone call away

เนื้อเพลง One Call Away


I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away
Call me, baby, if you need a friend
I just wanna give you love
C'mon, c'mon, c'mon
Reaching out to you, so take a chance
No matter where you go
You know you're not alone
I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away
Come along with me and don't be scared
I just wanna set you free
C'mon, c'mon, c'mon
You and me can make it anywhere
For now, we can stay here for a while
Cause you know, I just wanna see you smile
No matter where you go
You know you're not alone
I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away
And when you're weak I'll be strong
I'm gonna keep holding on
Now don't you worry, it won't be long
Darling, and when you feel like hope is gone
Just run into my arms
I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one, I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away
I'm only one call away

เนื้อเพลง Zombie

เนื้อเพลง Zombie


Another head hangs lowly,
Child is slowly taken.
And the violence caused such silence,
Who are we mistaken?
But you see, it's not me, it's not my family.
In your head, in your head they are fighting,
With their tanks and their bombs,
And their bombs and their guns.
In your head, in your head, they are crying
In your head, in your head,
Zombie, zombie, zombie,
Hey, hey, hey. What's in your head,
In your head,
Zombie, zombie, zombie?
Hey, hey, hey, hey, oh, dou, dou, dou, dou, dou
Another mother's breakin',
Heart is taking over.
When the vi'lence causes silence,
We must be mistaken.
It's the same old theme since nineteen-sixteen.
In your head, in your head they're still fighting,
With their tanks and their bombs,
And their bombs and their guns.
In your head, in your head, they are dying
In your head, in your head,
Zombie, zombie, zombie,
Hey, hey, hey. What's in your head,
In your head,
Zombie, zombie, zombie?
Hey, hey, hey, hey, oh, oh, oh,
Oh, oh, oh, oh, hey, oh, ya, ya-a

ประวัติ เครื่องบิน c130

การพัฒนา[แก้]

เบื้องหลังและความต้องการ[แก้]

ในสงครามเกาหลีที่เริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2493 ได้แสดงให้เห็นว่ายานขนส่งจากสงครามโลกครั้งที่สอง อย่าง ซี-119 ฟลายอิ่งบ็อกซ์คาร์ ซี-47 สกายเทรน และซี-46 คอมมานโด เริ่มไม่เหมาะกับสงครามยุคใหม่ ดังนั้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 กองทัพอากาศสหรัฐจึงทำการประกาศหาเครื่องบินขนส่งแบบใหม่ต่อโบอิง ดักลาส แฟร์ไชลด์ ล็อกฮีด มาร์ติน เชส แอร์คราฟท์ นอร์ธ อเมริกันนอร์ทธรอป และแอร์ลิฟท์ อิงค์ เครื่องบินขนส่งลำใหม่นี้จะสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 95 คน ทหาร 72 นายหรือพลร่ม 64 นาย โดยมีพิสัย 2,000 กิโลเมตร สามารถบินขึ้นจากลานบินสั้นๆ ได้ และสามารถบินได้โดยใช้เพียงเครื่องยนต์เดียว
แฟร์ไชลด์ นอร์ธ อเมริกัน มาร์ติน และนอร์ทธรอปได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ทำให้เหลืออีกห้าบริษัทพร้อมแบบทั้งสิบ ล็อกฮีดสองแบบ โบอิงหนึ่งแบบ เชสสามแบบ ดักลาสสามแบบ แอร์ลิฟท์หนึ่งแบบ การแข่งขันนั้นสูสีกันมากระหว่างล็อกฮีดสองแบบที่ขนาดเบากว่าและแบบของดักลาสที่มีสี่เครื่องยนต์
ทีมออกแบบของล็อกฮีดนำโดยวิลลิส ฮอร์คกินส์ เริ่มด้วยข้อเสนอ 130 หน้าสำหรับล็อกฮีด แอล-206 และแบบสองเครื่องยนต์กับอีกแบบที่ขนาดใหญ่กว่า[3] ฮอล ฮิบบาร์ด รองประธานล็อกและหัวหน้าวิศรกรของล็อกฮีด ได้เห็นข้อเสนอและส่งมันให้กับเคลลี่ จอห์นสัน ทั้งฮิบบาร์ดและจอห์สันได้เซ็นข้อเสนอและบริษัทก็ชนะสัญญาสำหรับการออกแบบโมเดล 82 ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2494[4]
การบินครั้งแรกของวายซี-130 เกิดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2497 วายซี-130 ที่บินโดยแสตนลีย์ เบลซ์และรอย วิมเมอร์ทำการบินนาน 61 นาทีไปยังฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด แจ็ค เรียลและดิกแสตนตันได้ทำหน้าที่เป็นวิศวกรการบิน เคลลี่ จอห์นสันได้บินเครื่องพี2วี เนปจูนของเชส[5]

การผลิต[แก้]

หลังจากที่ต้นแบบทั้งสองสมบูรณ์ การผลิตก็เริ่มขึ้นในจอร์เจีย ที่ซึ่งมีซี-130 มากกว่า 2,300 ถูกสร้างขึ้น[6]
แบบแรกๆ ที่ทำการผลิตคือเอซี-130เอ ใช้เครื่องยนต์อัลลิสัน ที56-เอ-9 ที่มีสามใบพัด การส่งมอบเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2499 โดยต่อไปจนถึงการมาของซี-130บีในปีพ.ศ. 2502 บางรุ่นมีชื่อใหม่ว่าซี-130ดีหลังจากที่ทำการติดตั้งสกีเข้าไป รุ่นบีที่ใหม่กว่ามีแพนปีกที่เสริมการเร่งจาก 2,050 ปอนด์ต่อตารางนิ้วเป็น 3,000 ปอนต่อตารางนิ้ว เช่นเดียวกันกับการปรับเครื่องยนต์และใบพัดทั้งสี่ซึ่งเป็นมาตรฐานมาจนถึงรุ่นเจ

ซี-130เอ[แก้]

ซี-130 ชุดแรกที่ทำการผลิตเรียกว่ารุ่นเอ ซึ่งส่งมอบให้กับฝูงบินขนส่งทหารที่ 463 ที่ฐานทัพอากาศอาร์ดมอร์รัฐโอกลาโฮมาและฝูงบินขนส่งทหารที่ 314 ที่ฐานทัพอากาศสจ๊วตรัฐเทนเนสซี ฝูงบินอีกหกฝูงถูกรวมเป็นกองบินที่ 332 ในยุโรปและกองบินที่ 315 ในตะวันออกไกล เครื่องบินลำอื่นถูกดัดแปลงเพื่องานข่าวกรองและส่งให้กับฐานทัพอากาศไร-แมง เยอรมนีได้ดัดแปลงอาร์ซี-130เอเพื่อทำงานถ่ายภาพทางอากาศ เครื่องบินที่ติดตั้งสกีถูกตั้งชื่อว่าซี-130ดี แต่มักจะเป็นรุ่นเอยกเว้นว่าจะมีการดัดแปลง ซี-130เอได้กลายมาเป็นทางเลือกให้กับการบัญชาการกำลังทางอากาศยุทธวิธี ด้วยการเพิ่มถังเชื้อเพลิงเข้าไปเพื่อให้มันทำหน้าที่เติมเชื้อเพลิงทางอากาศ รุ่นเอนั้นยังคงทำหน้าที่ของมันตลอดสงครามเวียดนาม ที่ซึ่งเครื่องบินทำงานให้กับสี่ฝูงบินที่ฐานทัพอากาศนาฮา โอกินาวาและอีกหนึ่งที่ฐานทัพอากาศทาชิกาวะ ญี่ปุ่นได้ใช้มันในปฏิบัติการพิเศษเหนือลาวและเวียดนามเหนือ รุ่นเอยังได้ทำหน้าที่ในกองทัพอากาศเวียดนามใต้ในช่วงท้ายของสงครามอีกด้วย และมันได้เข้าร่วมกับสามฝูงบิน ผู้ใช้งานรายสุดท้ายในโลกคือกองทัพอากาศฮอนดูรัสซึ่งยังคงใช้รุ่นเออยู่[ต้องการอ้างอิง]

ซี-130บี[แก้]

รุ่นบีนั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อเติมเต็มรุ่นเอซึ่งถูกส่งมอบไปก่อนหน้า และมันมีจุดเด่นใหม่ๆ โดยเฉพาะความจุเชื้อเพลิงเพื่อทำหน้าที่เติมเชื้อเพลิง มีการใช้เครื่องยนต์ฮาร์ทเซลแบบสี่ใบพัดแทนที่แบบเก่าที่มีสามใบพัด รุ่นบีได้เข้ามาแทนที่รุ่นเอในฝูงบินขนส่งทหารที่ 314 และ 463 ในสงครามเวียดนามมีสี่ฝูงบินที่เข้าร่วมกับฝูงบินขนส่งทหารทางยุทธวิธีที่ 463 ที่ตั้งฐานอยู่ที่สนามบินคลาร์กและแมกแทนในฟิลิปปินส์ มันถูกใช้เพื่อการลำเลียงทางอากาศในเวียดนามใต้ ในปีพ.ศ. 2512 ได้มีภารกิจทิ้งระเบิดเอ็ม-121 ขนาด 4,534 กิโลกรัมเพื่อเคลียร์ทางให้กับเฮลิคอปเตอร์ เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงรุ่นบีของฝูงบินที่ 463 และรุ่นเอของฝูงบินที่ 374 ก็ถูกย้ายกลับไปยังสหรัฐซึ่งพวกมันส่วนมากถูกมอบให้กับกองกำลังสำรองทางอากาศและยามชายฝั่ง อีกบทบาทหนึ่งของรุ่นบีคือนาวิกโยธิน ซึ่งมันได้ทำหน้าที่แทนซี-119 หลังจากที่ซี-130ดีของกองทัพอากาศได้พิสูจน์ว่ามันมีประโยชน์ในแอนตาร์กติกา กองทัพเรือสหรัฐก็ได้ซื้อรุ่นบีจำนวนมากที่มีสกีโดยใช้ชื่อว่าแอลซี-130
แบบสอดแนมอิเลคทรอนิกของซี-130บีถูกเรียกว่าซี-130บี-2 มี 13 ลำที่ถูกดัดแปลงและใช้งานภายใต้โครงการซันแวลลีย์ พวกมันปฏิบัติการที่ฐานทัพอากาศโยโกตาในญี่ปุ่นเป็นหลัก ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นซี-130บีรุ่นมาตรฐานหลังจากที่เข้ามาแทนที่เครื่องบินลาดตระเวนแบบอื่น ซี-130บี-2 มีจุดเด่นที่ถังเชื้อเพลิงเพิ่มในปีกของมัน ซึ่งมีเสาอากาศข่าวกรองติดตั้งอยู่ กระเปาะนั้นมีขนาดใหญ่กว่าถังแบบมาตรฐานของรุ่นบีเล็กน้อย เครื่องบินส่วนใหญ่มีจุดเด่นที่เสาอากาศลู่บนลำตัวส่วนบน เช่นเดียวกับเสาอากาศแบบสายที่อยู่ระหว่างครีบกับลำตัวส่วนบนที่ไม่มีในซี-130 รุ่นอื่น การเรียกหมายเลขบนหางของเครื่องจะเปลี่ยนไปเรื่อยเพื่อทำให้เกิดการสับสนและปิดบังภารกิจที่แท้จริงของมัน

ซี-130อี[แก้]

รุ่นอีที่มีพิสัยไกลขึ้นนั้นได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2505 หลังจากที่พัฒนาเป็นพาหนะขนส่งระยะไกลให้กับกองทัพ โดยเฉพาะในรุ่นบี การตั้งชื่อใหม่มาจากการติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 1,360 แกลลอนใต้ปีกแต่ละข้าง และเครื่องยนต์ใบพัดอัลลิสัน ที-56-เอ-7เอที่ทรงพลังกว่าเดิม รุ่นอียังมีจุดเด่นที่โครงสร้างซึ่งได้รับการพัฒนา ระบบอิเลคทรอนิกอากาศ และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

ซี-130เอฟ เคซี-130เอฟ และซี-130จี[แก้]

เคซี-130 เป็นเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงที่มาจากซี-130เอฟที่สร้างมาเพื่อนาวิกโยธินสหรัฐในปีพ.ศ. 2501 โดยติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 3,600 แกลลอนที่ถอดออกได้ซึ่งอยู่ด้านในส่วนเก็บสินค้า ปีกทั้งสองมีท่อเติมเชื้อเพลิงที่จะส่งเชื้อเพลิงได้ 300 แกลลอนต่อนาทีให้กับอากาศยานได้สองลำพร้อมๆ กัน ซี-130จีได้มีการเพิ่มความแข็งแกร่งทางโครงสร้างเข้าไปเพื่อให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น

ซี-130เอช[แก้]

รุ่นเอชนั้นได้พัฒนาเครื่องยนต์ใบพัดอัลลิสัน ที56-เอ-15 ปีกด้านนอกที่ออกแบบใหม่ ระบบอิเลคทรอนิกอากาศใหม่ และยังมีการพัฒนาอื่นๆ อีกเล็กน้อย ต่อมารุ่นเอชมีการพัฒนาอายุการใช้งานและปีกส่วนกลางซึ่งแตกต่างจากเอชรุ่นเดิม รุ่นเอชยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยกองทัพอากาศสหรัฐและประเทศอื่นๆ การส่งมอบครั้งแรกๆ เริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2507 โดยผลิตจนถึงปีพ.ศ. 2539 รุ่นเอชนั้นถูกพัฒนาเป็นรุ่นใหม่ในปีพ.ศ. 2517
ยามชายฝั่งสหรัฐใช้เอชซี-130เอชสำหรับการค้าหาและช่วยเหลือระยะไกล การสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยา การลาดตระเวนหาผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย รักษาดินแดน และขนส่ง
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535-2539 ซี-130เอชถูกเรียกว่าซี-130เอช3 โดยกองทัพอากาศสหรัฐ 3 นั้นหมายถึงการออกแบบครั้งที่สามของรุ่นเอช การพัฒนารวมทั้งห้องนักบิน เรดาร์เอพีเอ็น-241 ไฟมองกลางคืน และระบบอิเลคทรอนิกที่ให้พลังสะอาดกับส่วนประกอบใหม่ๆ ที่บอบบาง

ซี-130เค[แก้]

เป็นรุ่นส่งออกให้กับสหราชอาณาจักร มันถูกเรียกว่าเฮอร์คิวลิส ซี.1 โดยกองทัพอากาศอังกฤษ มันเหมือนกับเฮอร์คิวลิสรุ่นดั้งเดิม

ซี-130 รุ่นอื่น[แก้]

เอชซี-130บีของกองทัพอากาศสหรัฐที่เติมเชื้อเพลิงให้กับเอชเอช-60จี เพฟฮอว์ก
เอชซี-130พี/เอ็นเป็นแบบค้นหาและช่วยเหลือพิสัยไกลที่ใช้โดยกองทัพอากาศสหรัฐซึ่งพัฒนามาจากเอชซี-130พีรุ่นก่อนหน้า มันสามารถขนหน่วยกู้ภัยพลร่ม อุปกรณ์ช่วยชีวิต และเชื้อเพลิงสำหรับเติมให้กับเฮลิคอปเตอร์โจมตี เอชซี-130 มักถูกใช้เป็นเครื่องบินบัญชาการสำหรับภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ ในรุ่นแรกๆ จะมีรอกที่ออกแบบมาเพื่อดึงคนขึ้นมาโดยใช้ลวดที่แขวนกับบอลลูนฮีเลียม ในภาพยนตร์เรื่องเดอะ กรีน เบเร่ต์สของจอห์น เวย์นได้แสดงให้เห็นเช่นกัน มันเรียกว่าระบบฟุลตันที่ต่อมาถูกนำออกเมื่อการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศให้กับเฮลิคอปเตอร์นั้นปลอดภัยกว่าและมีประโยชน์มากกว่า ในภาพยนตร์เรื่องเดอะ เพอร์เฟ็ค สตอร์มได้แสดงให้เห็นภารกิจค้นหาและช่วยเหลือที่มีการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศให้กับเอชเอช-60จีโดยเอชซี-130พี
ซี-130อาร์และซี-130ทีเป็นรุ่นของกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐ ทั้งสองแบบติดตั้งถังเชื้อเพลิงไว้ใต้ปีก ของกองทัพเรือจะมีระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่พัฒนาอีกเล็กน้อย ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์อัลลิสัน ที-56-เอ-16 ของนาวิกโยธินใช้ชื่อเคซี-130อาร์หรือเคซี-130ทีเมื่อติดตั้งแท่นเติมเชื้อเพลิงและระบบมองกลางคืน
อาร์ซี-130 เป็นรุ่นสำหรับการสอดแนม มันถูกใช้โดยกองทัพอากาศอิหร่าน
ล็อกฮีด แอล-100 เป็นแบบของพลเรือน มันเหมือนกับรุ่นอีโดยปราศจากที่ติดตั้งถังเชื้อเพลิงหรืออุปกรณ์ทางทหาร แอล-100 มีสองรุ่น คือ แอล-100-20 ที่มีลำตัวขนาด 2.5 เมตร และแอล-100-30 ที่มีขนาด 4.6 เมตร แอล-100 นั้นไม่เป็นที่นิยมนักในตลาดแต่มักถูกใช้โดยสายการบินขนส่ง แอล-100 ยังถูกใช้โดยคูเวตและซาอุดิอาระเบีย

รุ่นในอนาคต[แก้]

ดูบทความหลักที่: ซี-130เจ ซูเปอร์เฮอร์คิวลิส
ในทศวรรษที่ 2513 ล็อกฮีดได้ยื่นข้อเสนอซี-130 ที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแทนเครื่องยนต์ใบพัด แต่กองทัพอากาศสหรัฐต้องการเครื่องบินที่มีการบินขึ้นที่แตกต่างซึ่งมีอยู่แล้วมากกว่า ในปีทศวรรษที่ 2523 ซี-130 มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่โดยโครงการยานขนส่งขึ้น-ลงในระยะสั้น โครงการถูกยกเลิกและซี-130 ก็ยังคงถูกผลิตต่อไป
ในทศวรรษที่ 2533 ซี-130เจ ซูเปอร์เฮอร์คิวลิสได้ถูกสร้างขึ้นโดยล็อกฮีด รุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดและมีแค่ลำเดียวที่ผลิตออกมา ภายนอกนั้นเหมือนกับเฮอร์คิวลิสทั่วไป แต่รุ่นเจนั้นมีเครื่องยนต์ใบพัดแบบใหม่ ที่มีหกใบพัด ระบบอิเลคทรอนิกอากาศแบบดิจิตอล และระบบใหม่อื่นๆผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติ เครื่องบิน c130

ประวัติ เครื่องบิน c17

การออกแบบ[แก้]

ด้านในของซี-17
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา น้ำหนักและขนาดอำนาจการยิงและอุปกรณ์ของสหรัฐได้เพิ่มากขึ้น ซึ่งทำให้เครื่องบินต้องมีความสามารถมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องพื้นที่ของห้องเก็บสินค้า ซี-17 สามารถลำเลียงสินค้าดังกล่าวเข้าสู่สนามรบได้อย่างง่ายดาย
ซี-17 มีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนเอฟ117-พีดับบลิว-100 ที่ถอยหลังได้ แต่ละเครื่องให้แรงขับ 40,400 ปอนด์[6] ตัวขับถอยหลังจะบังคับทิศทางอากาศที่ไหลขึ้นไปทางด้านหน้า สิ่งนี้จะลดความเป็นไปได้ที่จะมีวัตถุแปลกปลอมกระเด็นเข้าไปและทำให้เครื่องบินสามารถถอยหลังได้ ระบบนี้ยังสามารถใช้ขณะบินได้อีกด้วย[6] สำหรับการเพิ่มแรงฉุด
เครื่องบินนั้นต้องการลูกเรือสามนาย (นักบิน นักบินผู้ช่วย และพลลำเลียง) สินค้าจะถูกบรรจุเข้าทางด้านหลัง พื้นของห้องเก็บสินค้าจะมีรางลูกเลื่อนซึ่งสามารถพับลงได้เพื่อทำให้พื้นเรียบ หนึ่งในสินค้าที่มันสามารถขนได้คือรถถังเอ็ม1 เอบรามส์ขนาด 70 ตัน
มันสามารถจุได้สูงสุด 77,500 กิโลกรัม และน้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุดคือ 265,350 กิโลกรัม ด้วยสินค้า 72,600 กิโลกรัมและบินที่ความสูง 28,000 ฟุต ซี-17 นั้นสามารถบินได้โดยไม่เติมเชื้อเพลิงเป็นระยะทาง 4,400 กิโลเมตรสำหรับ 71 ลำแรก และ 5,200 กิโลเมตรสำหรับรุ่นต่อๆ มาซึ่งมีส่วนปีกที่ใช้เป็นถังเชื้อเพลิง มันถูกเรียกว่าซี-17 อีอาร์โดยโบอิง[7] ซี-17 มีความเร็วร่อนอยู่ที่ประมาณ 0.76 มัค[3] ซี-17 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อลำเลียงทหารพลร่มพร้อมอุปกรณ์ได้ 102 นาย
ซี-17 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ปฏิบัติการได้บนทางวิ่งที่สั้นเพียง 1,064 เมตรและกว้างเพียง 27 เมตร นอกจากนี้แล้วซี-17 สามารถทำงานของมันได้บนทางวิ่งที่ไม่สมบูรณ์[3]

ปีก[แก้]

การออกแบบปีกของเครื่องบินนับว่าเป็นงานที่มีความสำคัญ เพื่อให้ได้ตรงตามความต้องการของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดให้ บริษัทแมคดอนเนลล ดักลาส ได้คิดค้นรูปแบบปีกต่างๆ เพื่อให้ปีกมีความแข็งแรงและมีแรงต้านน้อยที่สุด กองทัพอากาศสหรัฐฯกำหนดความกว้างไว้มากที่สุดเพียง 50 เมตร เพราะด้วยเหตุผลในเรื่องพื้นที่การจอดและการเคลื่อนที่บนพื้นในสนามบินบางแห่งที่อยู่ห่างไกล และกำหนดหลุมจอดของเครื่องซี-17 ไว้ที่ขนาด 90×122 เมตร สุดท้ายความยาวของปีกที่กางออกอยู่ที่ 50.3 เมตร โดยมีการเพิ่มปีกต่อจากปลายปีกงอขึ้นข้างบน ซึ่งรูปแบบปีกแบบนี้มีผลดีต่อเครื่องยนต์ในการลดความสินเปลืองในการเผาไหม้ได้ 2% เนื่องจากประสิทธิภาพในการบินในแนวระดับดีขึ้น แรงต้านลดลงขณะทำการเดินทาง 3% เมื่อเปรียบเทียบกับปีกที่ไม่มีปีกต่อจากปลายปีกงอขึ้นข้างบน ส่วนแพนหางได้สร้างเป็นรูปตัวที สูง 16.38 เมตร ลู่ไปข้างหลัง 41 อาศา และส่วนบนของแพนหางดิ่งติดแพนหางระดับ กางปีก 19.8 เมตร สร้างจากวัสดุผสมน้ำหนักเบา ซึ่งแพนหางรูปตัวทีขนาดใหญ่ช่วยทำให้เครื่องบินมีเสถียรภาพในการบินในระดับต่ำดีขึ้น ก่อนลงมือสร้างจริง แมคดอนเนลล์ ดักลาส ได้ทำการทดสอบแผนงานและรูปแบบต่างๆ กับเครื่องบินต้นแบบ วายซี-15ซึ่งมีขนาดครึ่งหนึ่งของเครื่อง ซี-17

ระบบควบคุม[แก้]

ห้องนักบิน[แก้]

ห้องนักบิน
ห้องนักบินของเครื่องบินลำเลียง ซี-17 มีการออกแบบและพัฒนาระบบอวิโอนิกส์ต่างๆ ขึ้นมาติดตั้งใช้งานโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดภาระงานของนักบินและลดเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องให้น้อยลง โดย ซี-17 มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเพียง 3 คนเท่านั้น คือ นักบิน นักบินผู้ช่วย และ เจ้าหน้าที่ขนส่งทางอากาศ ซึ่งเครื่องบินลำเลียงโดยทั่วไปจะใช้เจ้าหน้าที่ 6-8 คน ระบบควบคุมการบินต่างๆของ ซี-17 คันบังคับเหมือนกับติดตั้งกับเครื่องบินรบไอพ่นซึ่งแตกต่างจากเครื่องบินลำเลียงทั่วไป และคันบังคับยังติดตั้งสวิทช์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ มากมายประกอบด้วย สวิทช์ปรับเสถียรภาพของเครื่องบิน ไมโครโฟน สวิทช์เลือกโหมดการทำงานของระบบควบคุมการบินด้วยไฟฟ้า สวิทช์ระบบเติมเชื้อเพลิงในอากาศ/นักบินกล และ สวิทช์ระบบทิ้งสัมภาระในอากาศ ตรงหน้านักบินทั้งสองคนติดตั้งจอ HUD สามารถพับได้เมื่อไม่ใช้งาน จอ HUD เป็นเครื่องวัดประกอบการบินมูลฐานของ ซี-17 มีโหมดสำหรับตัดภาพฉากหลังออกไปเมื่อต้องปฏิบัติภารกิจในงานหนักผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติ เครื่องบิน c17

ประวัติ เครื่องบิน blak hawk

การออกแบบและการพัฒนา[แก้]

ต้นกำเนิด[แก้]

ในทศวรรษที่ 2513 กองทัพเรือสหรัฐได้เริ่มมองหาเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่เพื่อเข้ามาแทนที่เอสเอช-2 ซีสไปรท์[2] ซีสไปรท์นั้นถูกใช้เพื่อเป็นฐานให้กับระบบอเนกประสงค์ทางอากาศขนาดเบา เป็นระบบอิเลคทรอนิกอากาศสำหรับสงครามทางทะเลและมีความสามารถรองคือการค้าหนและช่วยเหลือ ด้วยความก้าวหน้าในเซ็นเซอร์และระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่นำระบบดังกล่าวไปสู่รุ่นที่สอง แต่เอสเอช-2 ก็ไม่ใหญ่พอที่จะติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นได้หมด ในกลางทศวรรษที่ 2513 กองทัพได้ประเมินซิคอร์สกี้ วายยูเอช-60 และโบอิง-เวอร์ทอล วายยูเอช-31 ในการแข่งขันหาอากาศยานขนส่งแบบใหม่[3] กองทัพเรือมีความต้องการเดียวกับกองทัพบกเพื่อลดราคา[2] ซิคอร์สกี้และโบอิง-เวอร์ทอลได้ยื่นข้อเสนอให้กับกองทัพเรือโดยเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากของกองทัพบกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2520 กองทัพเรือยังได้มองหาเฮลิคอปเตอร์ที่ผลิตโดยเบลล์ คาแมน เวสท์แลนด์ และเอ็มบีบี แต่ก็ล้วนมีขนาดเล็กเกินไป พอต้นปีพ.ศ. 2521 กองทัพเรือได้เลือกการออกแบบเอส-70บีของซิคอร์สกี้[2] ซึ่งใช้ชื่อว่า"เอสเอช-60บี ซีฮอว์ก"

เอสเอช-60บี ซีฮอว์ก[แก้]

ซีฮอว์กที่บินรอรับผู้บาดเจ็บที่ถูกหามมาบนเปล ทั้งหมดเป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น
เอสเอช-60บีนั้นมีความคล้ายคลึงกับยูเอช-60เอถึง 83%[4] การเปลี่ยนแปลงหลักการป้องกันการกัดกร่อน เครื่องยนต์ที700 ที่ทรงพลังมากขึ้น เลื่อนตำแหน่งของล้อหลังไปด้านหน้า 13 ฟุต แทนที่ประตูด้านข้างด้วยโครงสร้างลำตัว และเพื่อจุดติดอาวุธเข้าไปสองตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงส่วนอื่นๆ ก็มีทั้งเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น ระบบับเก็บใบพัดด้วยไฟฟ้า ครีบหางที่พับเก็บได้ และท่อปล่อยกระบอกโซนาร์ 25 ท่อที่ด้านข้าง การเปลี่ยนตำแหน่งของล้อด้านหลังทำให้ลดรอยขูดขีดที่เกิดขึ้นเมื่อจอดลงบนดาดฟ้าเรือ[5]
มีวายเอสเอช-60บี ซีฮอว์ก แลมป์ส 3 ที่เป็นต้นแบบ 5 ลำถูกสั่งซื้อ วายเอสเอช-60บีทำการบินครั้งแรกในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เอสเอช-60บีที่เป็นรุ่นผลิตนั้นทำการบินครั้งแรกในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2527 โดยใช้งานครั้งแรกในปีพ.ศ. 2528[3]
เอสเอช-60บี แลมป์ส 3 จะถูกใช้บนเรือฟริเกต เรือพิฆาต และเรือลาดตระเวนเป็นหลัก ภารกิจหลักของมันคือสงครามทำลายกำลังพื้นผิวและการปราบเรือดำน้ำ
เอสเอช-60บีมีระบบเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนรวมทั้งเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็กหรือแมด (Magnetic Anomaly Detector, MAD) และกระบอกโซนาร์ เซ็นเซอร์อื่นๆ รวมทั้งเรดาร์ค้นหาเอพีเอส-124 ระบบอีเอสเอ็ม เอแอลคิว-142 และป้อมอินฟราเรดส่วนหน้าตรงปลายจมูก มันบรรทุกตอร์ปิโดมาร์ก 46 มาร์ก 50 หรือมาร์ก 54 ขีปนาวุธเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์ และปืนกล เอ็ม60/เอ็ม240 ขนาด 7.62 หรือปืนกลจีเอยู-16 ขนาด 12.7 ม.ม.
เอสเอช-60บีต้องการนักบินเพียงหนึ่งนายและผู้ควบคุมระบบการสงครามหรือเซ็นเซอร์อีกหนึ่งนาย
เอสเอช-60เจเป็นรุ่นหนึ่งของเอสเอช-60บีที่ผลิตมาเพื่อกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น เอสเอช-60เคเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากเอสเอช-60เจ เอสเอช-60เจและเคถูกสร้างขึ้นภายใต้ใบอนุญาตโดยอุตสาหกรรมิตซูบิชิในญี่ปุ่น[6][7]

เอสเอช-60เอฟ โอเชียนฮอว์ก[แก้]

หลังจากที่เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการ กองทัพเรือก็เริ่มทำการพัฒนาเอสเอช-60เอฟขึ้นมาเพื่อแทนที่เอสเอช-3 ซีคิง[8] การพัฒนาเริ่มขึ้นเมื่อได้ทำสัญญากับซิคอร์สกี้เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 เอสเอช060บีแบบแรกๆ นั้นถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรุ่นเอฟ บริษัทได้ผลิตรุ่นเอฟออกมา 7 ลำในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 และทำการบนทดสอบครั้งแรกในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2530[9]
เอสเอช-60เอฟทำหน้าที่ในหมวดเรือบรรทุกเครื่องบิน มันมีภารกิจหลักในสงครามปราบเรือดำน้ำและเป็นเฮลิคอปเตอร์ในการค้นหาและช่วยเหลือ มันจะล่าเรือดำน้ำด้วยการหย่อนโซนาร์เอเอ็น/เอคิวเอส-13 และมีโซนาร์กระบอก 14 กระบอก เอสเอช-60เอฟมีตอร์ปิโด มาร์ก 46 และปืนกลที่ประตู อาจเป็นเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-16 มันมีนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย ผู้ควบคุมเซ็นเซอร์ยุทธวิธีหนึ่งนาย และผู้ควบคุมเซ็นเซอร์เสียงอีกหนึ่งนาย
เอสเอช-60เอฟเข้าประจำการครั้งแรกในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2532[10] ฝูงบินเอสเอช-60เอฟจะเปลี่ยนมาใช้เอสเอช-60เอสในปีพ.ศ. 2552[11]

เอชเอช-60เอช เรสคิวฮอว์ก[แก้]

เอชเอช-60เอชพร้อมนักดำน้ำค้นหาและช่วยเหลือ
เอชเอช-60เอชทำการพัฒนาขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2529 โดยในสัญญาจะผลิตออกมา 5 ลำ มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เอชเอช-60เอชถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับเอชเอช-60 เจย์ฮอว์กของยามชายฝั่งสหรัฐ การส่งมอบเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2532 พวกมันเริ่มปฏิบัติการได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533[9]
มันมีพื้นฐานมาจากเอสเอช-60เอฟ ทำให้มันมีหน้าที่หลักในการค้นหาและช่วยเหลือการรบ การรบพิเศษทางทะเล และสงครามทำลายกำลังพื้นผิว มันมีเซ็นเซอร์แบบรุกและป้องกันมากมาย จึงทำให้มันเป็นหนึ่งในเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่รอดได้ดีที่สุดในโลก เซ็นเซอร์นั้นประกอบด้วยป้อมออนฟราเรดหน้าที่มีเลเซอร์ระบบุตำแหน่งและอุปกรณ์ช่วยชีวิต โดยมีเครื่องรบกวนอินฟราเรดเอเแอลคิว-144 เครื่องตรวจจับเลเซอร์เอวีอาร์-2 เครื่องตรวจจับเรดาร์เอพีอาร์-39(วี)2 เครื่องตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธเอเออาร์-7 และเครื่องปล่อยพลุล่อเป้าเอแอลอี-47 นอกจากนี้แล้วมันยังได้รับการพัฒนาด้านโครงสร้างของตัวสะท้อนไอเสียเครื่องยนต์ที่จะลดความร้อนซึ่งขีปนาวุธติดตามความร้อนมักมองหา เอชเอช-60เอชสามารถติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ได้ถึง 4 ลูกบนปีกโดยใช้เครื่องยิงแบบเอ็ม299 และยังมีหน้าต่างที่หลากหลายเพื่อติดตั้งปืนกลอย่างเอ็ม60ดี เอ็ม240 จีเอยู-16 และจีเอยู-17/เอ ลูกเรือจะประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และพลปืนประจำประตูสองนาย

เอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ก[แก้]

เอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ก (MH-60S Knighthawk) ที่กำลังส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง
กองทัพเรือได้ติดสินใจว่าจะแทนที่ซีเอช-46 ซีไนท์ของพวกเขาในปีพ.ศ. 2540 หลังจากมีการสาธิตยูเอช-60 ที่ถูกดัดแปลง กองทัพเรือก็ทำสัญญาให้มีการผลิตซีเอช-60 ในปีพ.ศ. 2541 มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2543 และเริ่มทำการบินทดสอบในปีต่อมา ซีเอช-60 ถูกตั้งชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอสในเดือนมกราคม พ.ศ. 2544[10]
เอ็มเอช-60เอสนั้นมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลและมีจุดเด่นมากมายจากเอสเอช-60[12] มันถูกใช้งานบนเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกและเรือเร็วสนับสนุนการรบ มันมีสองภารกิจ คือ ขนส่งทหารและการส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง แต่ก็สามารถทำหน้าที่ค้นหาและช่วยเหลือได้เช่นกัน เอ็มเอช-60เอสไม่มีเซ็นเซอร์ด้านการรุกแต่มีเครื่องรบกวนเรดาร์เอแอลคิว-144 ในอนาคตมันจะมีระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเอคิวเอส-20เอและระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเลเซอร์ทางอากาศสำหรับการระบุวัตถุที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำ รุ่นเอสนั้นเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบแรกของกองทัพเรือสหรัฐที่ใช้ห้องนักบินแก้วซึ่งข้อมูลการบินจะถูกส่งให้กับนักบินผ่านทางหน้าจอดิจิตอลแทนที่จะใช้เกจ์ธรรมดา การป้องกันหลักของมันคือปืนกลเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-17/เอ ปีกของมันมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลของกองทัพบกเพื่อติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ ไฮดรา 70 หรืออาวุธที่ใหญ่กว่านั้น
เอ็มเอช-60เอสรู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า"ไนท์ฮอว์ก" (Knighthawk) เพื่อสะท้อนการสืบทอดตำแหน่งจาก"ซีไนท์" (Sea Knight) แม้ว่าชื่อดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติเพื่อมีชื่อ"ซีฮอว์ก"แล้ว[13][14] ลูกเรือของซีไนท์ประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และทหารอีกสองนายที่ขึ้นอยู่กับภารกิจ ฝูงบินที่ใช้เอ็มเอช-60เอสถูกตั้งชื่อใหม่เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีทางทะเล (Helicopter Sea Combat, HSC)[15]
มันไม่เหมือนกับเอช-60 ทั้งหมดของกองทัพเรือ เอ็มเอช-60เอสนั้นไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเอส-70บี/เอสเอช-60บีที่มันมีล้อคู่ด้านท้ายที่เยื้องไปทางด้านหน้าและประตูเลื่อนเพียงด้านเดียว แทนที่จะเป็นเช่นนั้นรุ่นเอสเป็นแบบผสม มันมีจุดเด่นที่โครงสร้างหลักของเอส-70เอ/ยูเอช-60 โดยมีประตูเลื่อนทั้งสองด้านและล้อเพียงอันเดียวที่เยื้องไปด้านหลัง และเครื่องยนต์กับใบพัดนั้นมาจากเอส-70บี/เอสเอช-60[16]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 สาธารณรัฐเกาหลีได้ร้องของเอ็มเอช-60เอส 8 ลำ เครื่องยนต์จีอี ที700-401ซี 16 เครื่อง และระบบเซ็นเซอร์สัมพันธ์ ซึ่งจะขายในการขายทางกองทัพข้ามประเทศ [17]

เอ็มเอช-60อาร์ ซีฮอว์ก[แก้]

เอ็มเอช-60อาร์กำลังใช้โซนาร์
เดิมทีนั้นเอ็มเอช-60อาร์คือ"การพัฒนาแลมป์ส มาร์ก 3 บล็อก 2" (LAMPS Mark III Block II Upgrade) เมื่อมันเริ่มพัฒนาในปีพ.ศ. 2536 เอสเอช-60บีสองลำถูกดัดแปลงโดยซิคอร์สกี้เพื่อโครงการดังกล่าว เอสเอช-60 ลำแรกที่ถูกดัดแปลงทำการบินครั้งแรกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2542 การดัดแปลงทำให้มันได้ชื่อว่าวายเอสเอช-60เอส มันถูกส่งมอบเพื่อทำการทดสอบในปีพ.ศ. 2544 แบบสำหรับการผลิตได้รับชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอส[18]
เอ็มเอช-60อาร์ถูกออกแบบมาโดยผสมลักษณะเด่นของเอสเอช-60บีและเอสเอช-60เอฟ[19] เซ็นเซอร์ของมันมีทั้งชุดเอเอสอี อินฟราเรดหน้า การเชื่อมโยงข้อมูลทางอากาศที่ก้าวหน้า และโซนาร์ทางอากาศแบบใหม่ มันไม่มีเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็ก นักบินจะอยู่ในห้องนักบินแก้วแบบเดียวกับเอ็มเอช-60เอส ซึ่งใช้หน้าจอดิจิตอลแทนที่จะเป็นเกจ์วัด ความสามารถในการรุกของมันเพิ่มขึ้นโดยมีตอร์ปิโด มาร์ก 54 และขีปนาวุธเฮลไฟร์
รุ่นอาร์ทำการส่งมอบในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 และเริ่มทำการฝึกนักบิน ในปีพ.ศ. 2550 เอ็มเอช-60 ก็เข้าสู่การทดสอบสุดท้ายเพื่อเข้าทำงานในกองบิน เมื่อถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 มันถูกส่งไปประจำการบนเรือยูเอสเอส จอห์น ซี. สเตนนิส ตามที่ล็อกฮีด มาร์ตินอ้าง "ภารกิจรองของมันคือการค้นหาและช่วยเหลือ การเพิ่มเติมกำลังในแนวดิ่ง การยิงสนับสนุนพื้วผิวทะเล การสนับสนุนทางจำนวน ยานลำเลียงพล การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และการสื่อสารและส่งข้อมูล"[20]