วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประวัติแพนเซอร์4

ต้นกำเนิดแก้ไข

แพนเซอร์ 4 นั้นเป็นรถถังที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยจอมพล ไฮนซ์ กูเดอร์เรียน[3] โดยการจัดกำลังนั้น ในหนึ่งกองพันทหารม้ายานเกราะ จะประกอบด้วย กองร้อยแพนเซอร์ 3 จำนวน 3 กองร้อย และ แพนเซอร์ 4 จำนวน 1 กองร้อย[4]

ในปี ค.ศ. 1934 เยอรมันได้เขียนสเปค "รถถังขนาดกลาง" ไว้ และจะจัดกำลังเข้าสู่กองร้อยรถถังที่มี แพนเซอร์ 3อยู่แล้ว โดยรถถังที่จะมาสนันสนุน แพนเซอร์ 3 นี้ จะต้องมีลำกล้องปืนขนาด 7.5เซนติเมตร เป็นปืนต่อสู้รถถังหลัก และต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 24 ตัน รหัสที่ใช้ในการสร้างรถถังนี้คือ รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร[5] (เยอรมัน : Begleitwagen)[6] เพื่อเป็นการหลบเลี่ยง สนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ผูกพันกับเยอรมันอยู่[7] มีผู้ผลิตเพียง 3 รายที่ถูกคัดเลือกมาให้ผลิตรถถังต้นแบบคือ MAN, Krupp, and Rheinmetall-Borsig[8] โดยในที่สุด เยอรมันได้ตัดสินใจให้บริษัท Krupp เป็นผู้ผลิต

ในช่วงแรก แพนเซอร์ 4 ได้ถูกออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ ล้อกดสายพานซ้อน (อังกฤษ : six-wheeled interleaved suspension) แต่ทางกองทัพเยอรมันต้องการระบบช่วงล่างแบบ ทอร์ชัน บาร์(อังกฤษ : Torsion bar) ซึ่งสามารถไต่ที่สูงชันได้ดีกว่า และยังให้ความนุ่มนวลแก่พลประจำรถถังด้วย[8][9] แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกองทัพเยอรมันต้องการใช้งานอย่างเร่งด่วน บริษัท Krupp จึงทำการเลือกช่วงล่างแบบ leaf spring double-bogie ซึ่งผลิตได้ง่ายกว่ามาแทน

ต้นแบบรถถังที่ได้มานั้น ใช้พลประจำรถ 5 นาย โดยมีห้องเครื่องอยู่ทางท้ายรถถัง ด้านหน้าซ้ายเป็นที่นั่งของ พลขับ ส่วนด้านหน้าขวานั้น เป็นที่นั่งของพลวิทยุ ซึ่งจะต้องควบคุมปืนกลไปด้วย ผู้บัญชาการรถถังจะนั่งอยู่ในป้อมปืน บริเวณด้านล่างของทางเข้าออก ส่วนพลปืน และพลบรรจุกระสุนนั้น จะนั่งอยู่ทางซ้าย และทางขวาของปืนตามลำดับ ทางด้านขวาของตัวถังนั้นจะเป็นที่เก็บกระสุน รถถัง แพนเซอร์ 4 เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 1936 ณ เมือง Magdeburg[10]

รุ่น A - F1แก้ไข

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น C

รุ่น Aแก้ไข

การผลิตครั้งแรกนั้นเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1936 โดยเป็นการผลิตในรุ่น A ใช้เครื่องยนต์ Maybach's HL 108TR ให้กำลัง 250 แรงม้า (183.73 kW) ใช้ระบบส่งกำลังแบบ SGR 75 ซึ่งมีเกียร์เดินหน้า 5 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 1 เกียร์[11] โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[12]โดยปืนต่อสู้รถถังหลักนั้นเป็น ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบ 37 L/24 (KwK 37 L/24) ซึ่งใช้ยิงกระสุนระเบิดแรงสูง(HE) เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้กับทหารราบ[13] การต่อสู้กับรถถังนั้น จะใช้กระสุนแบบเจาะเกราะ ความเร็วกระสุน 430 เมตรต่อวินาที โดยจะสามารถเจาะเกราะได้ลึก 43 มิลลิเมตร ที่มุมตกกระทบไม่เกิน 30 องศา ในระยะ 700 เมตร[14]และมีปืนกลแบบ MG34 2 กระบอก โดยกระบอกแรกจะใช้แกนร่วมกับปืนหลัก และอีกกระบอกจะติดอยู่กับตัวถังบริเวณพลวิทยุ รุ่น A นั้น มีเกราะด้านหน้าหนา 14.5 มิลลิเมตร และมีเกราะที่ป้อมปืนหนา 20 มิลลิเมตร ด้วยความบางของเกราะระดับนี้ จะป้องกันได้เพียงแค่กระสุนปืนจากปืนเล็กยาว จรวดต่อสู้รถถังขนาดเบา และสะเก็ดระเบิดจากปืนใหญ่ได้เท่านั้น[15] หลังจากรุ่น A ผลิตได้เพียง 35 คัน เยอรมันจึงเริ่มทำการผลิตรุ่น B ในปี ค.ศ. 1937[7]

รุ่น Bแก้ไข

รุ่น B มีการปรับปรุงโดยมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่น Maybach HL 120TR ซึ่งให้กำลัง 300 แรงม้า และระบบส่งกำลังได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่มเกียร์เดินหน้าอีก 1 เกียร์ เป็น 6 เกียร์ ทำความเร็วได้สูงสุด 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[16] เกราะรถถังด้านหน้านั้นได้ถูกเพิ่มความหนาเป็น 30 มิลลิเมตร[15] และช่องปืนกลที่ติดอยู่บนตัวถังนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง ที่สามารถนำปืนสั้นยิงลอดออกไปได้ แพนเซอร์ 4 รุ่น B ได้ถูกผลิตออกไปเป็นจำนวน 42 คัน

รุ่น Cแก้ไข

มีการเพิ่มความหนาของเกราะป้อมปืนเป็น 30 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้รถถังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 18.14 ตัน หลังจากผลิตรุ่น C ได้เพียง 40 คัน ก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์รุ่น Maybach HL 120TRM. และทำการผลิตออกมาอีก 100 คัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรุ่น D ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1939

เครื่องยนต์ มายบัค 120TRM ที่รถถังแพนเซอร์ 4 ส่วนใหญ่ใช้.

รุ่น Dแก้ไข

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น D

แพนเซอร์ 4 ที่ถูกผลิตออกมาในรุ่น D นั้นมีจำนวน 248 คัน โดยในรุ่น D นี้ได้มีการนำปืนกลที่ติดอยู่กับตัวถังกลับมาใช้งานเหมือนรุ่น B และมีการย้ายปืนกลแกนร่วมกับปืนหลักออกไปอยู่บนป้อมปืนแทน มีการเพิ่มความหนาของเกราะด้านข้างเป็น 20 มิลลิเมตร [13] หลังจากเยอรมันได้รับชัยชนะจากการบุกโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 เยอรมันจึงคิดจะขยายการผลิตรถถังรุ่นนี้ โดยนำเข้าประจำการในชื่อ Sonderkraftfahrzeug 161 (Sd.Kfz. 161).[7]

เนื่องจากปืนต่อสู้รถถังแบบ KwK 37 L/24 นั้น เป็นแบบลำกล้องสั้น และใช้ยิงกระสุนความเร็วต่ำ จึงมักจะไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของอังกฤษในสมรภูมิการบุกยึดฝรั่งเศสได้ เยอรมันจึงได้ทำการทดลองติดตั้งปืนแบบ Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเจาะเกราะหนา 50 มิลลิเมตรได้ แต่การสั่งรถถังรุ่นนี้ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากชัยชนะอันรวดเร็วของเยอรมนีที่มีต่อฝรั่งเศส[17]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น